ทักษะการต่อรอง

ทักษะการต่อรองหมายถึงกระบวนการติดต่อสื่อสารเพื่อร่วมกันตัดสินใจและแก้ไขปัญหาโดยแต่ละฝ่ายจะแสดงความต้องการ ความรู้สึก ความคิดเห็น ตลอดจนความคาดหวังของตนเองให้ทราบ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากความตั้งใจเดิมมาคล้อยตามตนเอง โดยรักษาไว้ซึ่งสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน

ทักษะ การต่อรองจะต้องอาศัยทักษะการสื่อสารและทักษะการสร้างสัมพันธภาพ ซึ่งมีผลต่อการร่วมกันตัดสินใจ การยอมลดระดับความต้องการ เพื่อการคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้น โดยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากความสำเร็จของการต่อรองนี้ จะต้องเป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย ทักษะการต่อรองเป็นสิ่งที่เราใช้ปฏิบัติกันในชีวิตประจำวัน การต่อรองราคาในการซื้อขายสินค้า การต่อรองในการยืมคืนสิ่งของ ซึ่งการต่อรองนั้นมีความสำคัญ ดังนี้

๑.เป็นการป้องกันสิทธิของตนเอง เพื่อป้องกันความเสียหายอันอาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์นั้นๆ

๒.เป็นการรักษาสิทธิของตน เพื่อแสดงถึงจุดยืนหรือความต้องการของตน ซึ่งเป็นสิทธิของบุคคลที่พึงกระทำ

๓.เป็นการลดระดับความเสียหายหรือความสิ้นเปลืองที่จะเกิดขึ้น ซึ่งถ้าไม่มีการต่อรองแล้ว จะเกิดความเสียหาย หรือสิ้นเปลืองมากกว่านี้

๔. สร้างความสัมพันธ์ ความเข้าใจระหว่างบุคคลหรือกลุ่มคนในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ทั้งสองฝ่าย

๕. เป็นกระบวนการช่วยพัฒนาการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นการสร้างตนเองและสร้างกลุ่มอีกด้วย

๖. เป็นการปลูกจิตสำนึกในหน้าที่และกิจกรรมต่างๆ เพื่อการพัฒนา การจัดการและการประเมินตนเองอย่างเหมาะสมในการดำเนินชีวิต

๗. เป็นกระบวนการคิด วิเคราะห์ คาดการณ์ ประเมินสถานการณ์ โดยใช้กระบวนการในเชิงบูรณาการทักษะชีวิต เช่น ทักษะการสื่อสาร ทักษะการสร้างสัมพันธภาพ ในขณะเผชิญปัญหาและมีการต่อรองได้อย่างรอบคอบ

๘. เป็นการก่อให้เกิดความเมตตาต่อกัน รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เคารพสิทธิผู้อื่นอันจะก่อให้เกิดการลดความขัดแย้ง และเกิดความสงบสุขในครอบครัวและสังคม

ตัวอย่างการใช้ทักษะการต่อรอง

สถานการณ์ที่ผู้หญิงถูกผู้ชายลวนลาม ผู้หญิงควรกระทำดังนี้

๑. ตั้งสติให้ดี ไม่แสดงความตกใจ ความเครียดและ ความหวาดกลัวมากจนเกินไป

๒. รับฟังข้อเสนออย่างตั้งใจ พร้อมคิดคำตอบและคำพูดโต้ตอบ โดยการชั่งใจตนในประเด็นต่างๆ อย่างวดเร็วและ รอบครอบ

๓. ไม่แสดงการตอบรับ หรือปฏิเสธโดยทันทีด้วยการแสดงกิริยาวาจาท่าทางที่ทำให้อีกฝ่ายเกิดความ รู้สึกในทางที่ไม่ดี เช่น กริยาก้าวร้าว ดูถูก โกรธ อันจะทำให้เขาเกิดความโกรธ และก่อให้เกิดความเสียหายต่อเราได้

๔. การพูดหรือแสดงท่าทางเป็นมิตร และคอยหาทางปฏิเสธด้วยคำว่า “ขอโทษ” หรือ “เสียใจ” ที่เราไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของเขาได้

๕. แสดงความรู้สึกของตนเองพร้อมให้เหตุผล โดยแสดงถึงข้อดี ข้อเสีย ที่จะเกิดขึ้นจากสถานการณ์นั้น ๆ

๖. รู้จักผักผ่อนหรือหลีกเลี่ยงจากสถานการณ์ เช่น การขอให้เขาหยุดการกระทำนั้นแต่ผัดผ่อนไว้โอกาสหน้า พยายามออกไปจากสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัยนั้น

๗. พยายามใช้ทักษะการสื่อสารด้วยคำพูดที่จะทำให้ตัวเองรอดจากสถานการณ์นั้นให้ได้ก่อน เช่น การพูดหลอกล่อเพื่อเอาตัวรอด

๘. มีการยืดหยุ่นบ้าง รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา คล้อยตามบ้าง จะช่วยให้การต่อรองมีผลมากยิ่งขึ้น

ที่มา : อุทัย สงวนพงศ์ หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน สุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖
๔. ทักษะการปฏิเสธ

ทักษะการปฏิเสธเป็นทักษะสื่อสารเพื่อแสดงความรู้สึกนึกคิดของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้และยอมรับว่าตนเองไม่เห็นด้วย โดยไม่เสียสัมพันธภาพอันดีต่อกัน

องค์ประกอบของการปฏิเสธ มีดังนี้

๔.๑ คุณลักษณะของการปฏิเสธ

๑) การปฏิเสธเป็นสิทธิและความต้องการโดยชอบธรรมที่จะปฏิเสธ

๒).การที่จะปฏิเสธหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง เพราะในเรื่องเดียวกันแต่ถ้าคนละสถานการณ์ ก็อาจปฏิเสธได้ทั้งที่ในสถานการณ์ครั้งก่อนไม่ปฏิเสธ

๓) .มีการพิจารณาถึงพฤติกรรม ว่าพฤติกรรมนั้นควรปฏิเสธหรือไม่

๔).มีองค์ประกอบในด้านความรู้สึก การแสดงพฤติกรรมที่ต้องการ และความคิดเห็นส่วนบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง

๔.๒ หลักการปฏิเสธ

๑) ควรปฏิเสธด้วยคำพูด น้ำเสียง ท่าทางที่จริงจังแต่มีความสุภาพ เพื่อแสดงความตั้งใจอย่างชัดเจนในการปฏิเสธ

๒) แสดงความรู้สึกและพฤติกรรมประกอบไปกับเหตุผล

๓) การขอความเห็นส่วนร่วมกับการแสดงการขอบคุณ การขอโทษ เพื่อรักษาน้ำใจและสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน

๔) มีสมาธิในการปฏิเสธเมื่อถูกรบเร้าไม่ควรหวั่นไหวหรือลังเล ควรยืนยันการปฏิเสธ และหาทางออกโดยวิธีการดังนี้

-ควรปฏิเสธซ้ำโดยไม่ต้องใช้ข้ออ้าง พร้อมทั้งกล่าวคำอำลา โดยไม่ฟังคำพูดอื่นใดอีก เพื่อไม่ให้เกิดความลังเลใจ หรือขาดความเชื่อมั่นในตนเอง

-มีการต่อรองหรือผัดผ่อน โดยการหากิจกรรมอื่นมาทดแทน

-มีการผัดผ่อน โดยยืดระยะเวลาออกไป เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนใจ

๔.๓ การเลือกใช้ทักษะการปฏิเสธ

๑) ไม่ชอบหรือไม่ต้องร่วมกิจกรรมต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดความอึดอัดหรือคับข้องใจก็ควรใช้ทักษะการปฏิเสธ

๒) เมื่อรู้สึกลังเลใจต่อการเลือกสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง ก็ควรใช้ทักษะการปฏิเสธสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งเสีย

๓) เมื่อรู้สึกว่าสถานการณ์นั้นเสี่ยงต่อตนเอง ก็ควรใช้ทักษะการปฏิเสธในสถานการณ์ ดังกล่าวนั้น

๔.๔ ประโยชน์ของการปฏิเสธ

๑) เป็นการแสดงสิทธิอันชอบธรรมของบุคคลต่อการแสดงความรู้สึกไม่พอใจความขัดแย้งของตนเอง ต่อผู้อื่นโดยไม่เสียสัมพันธภาพ

๒) ทำให้เกิดความปลอดภัยหรือป้องกันการเกิดความสูญเสียซึ่งอาจเกิดขึ้นได้

๓) เป็นการระงับความขัดแย้งหรือเพื่อการรักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อกันให้คงอยู่

๔) ใช้ในการแก้ไขปัญหา รวมทั้งสถานการณ์เสี่ยงต่อสุขภาพและเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตประจำวัน

ตัวอย่างการใช้ทักษะการปฏิเสธ

บอยมาหาบีที่บ้านเพื่อช่วยกันทำรายงาน หลังทำรายงานเสร็จบอยจึงใช้คำพูดขอหอมแก้มบีและบอกว่ารักบีมาก

บอย: “เราขอหอมแก้มบีได้มั้ย บอยรักบีนะ”

บี: “บีว่าอย่าดีกว่านะ มันไม่เหมาะสม เพราะเรายังเด็กกันอยู่ อย่าทำอะไรแบบนี้เลย”

บอย: “บีไม่รักบอยเหรอ”

บี: “บีก็รักบอย แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เราควรเป็นเพื่อนกันไปก่อน และทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เรียนหนังสือให้จบ มีงานทำและสามารถรับผิดชอบตนเองได้ นั่นคือ เวลาที่เหมาะสมสำหรับเรื่องนี้”

บอย: “บอยขอโทษ ต่อไปบอยจะไม่ทำอย่างนี้อีก”

๕. ทักษะการคิดวิเคราะห์

ทักษะการคิดวิเคราะห์เป็นการคิดอันจะนำไปสู่การตัดสินใจ โดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่คิดใคร่ครวญถึงเหตุผล สามารถตอบคำถามได้ว่าที่ทำเช่นนี้เพราะคิดอย่างไร ผู้ที่เป็นนักคิดวิเคราะห์จะเป็นคนที่มีเหตุผลและคาดหมายผลที่จะเกิดในอนาคตได้อย่างแม่นยำ เมื่อบุคคลมีลักษณะเช่นนี้ก็หายากที่จะเกิดปัญหาความขัดแย้งในครอบครัวรวมถึงปัญหาในเรื่องเพศ

ผู้ที่สามารถคิดวิเคราะห์ได้ดีจะต้องเป็นบุคคลที่อ่านมาก ฟังมาก มีข้อมูลต่างๆในสมองมากและเป็นคนช่างคิด มีเหตุผล ดังนั้นเราจึงต้องฝึกฝนตนเอง ฝึกคิดวิเคราะห์บ่อยๆ แล้วดูผลว่าผลที่เกิดขึ้นเป็นจริงตามที่เราคิดวิเคราะห์ไว้หรือไม่ และต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาการคิดวิเคราะห์อยู่เสมอเพื่อเพิ่มความชำนาญ

ตัวอย่างการใช้ทักษะการคิดวิเคราะห์

นุ้ยย้ายมาอยู่กับคุณยายที่ต่างจังหวัด เพราะ พ่อแม่แยกทางกันและต่างมีครอบครัวใหม่ ช่วงแรกนุ้ยรู้สึกว่าตนเองเป็นเด็กมีปัญหาครอบครัว จึงชอบทำตัวเกเร กลับบ้านดึก ติดเพื่อน จนคุณยายได้เรียกนุ้ยมาคุยเกี่ยวกับปัญหาของนุ้ย และถามนุ้ยว่าทำไมนุ้ยจึงทำตัวเกเร หากนุ้ยยังปฏิบัติตนเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ อนาคตของนุ้ยจะเป็นเช่นไร นุ้ยคงเรียนไม่จบและไม่มีงานที่ดีทำ นั่นหมายถึง อนาคตหากนุ้ยมีครอบครัว ลูกของนุ้ยอาจจะต้องลำบาก นุ้ยจึงคิดได้และกลับมาตั้งใจเรียนและเป็นเด็กดีของพ่อแม่และคุณยาย

ยาย:”นุ้ย ถ้าหนูไม่ตั้งใจเรียน เรียนไม่จบ อนาคตของนุ้ยจะเป็นอย่างไรลูก”

นุ้ย:”นุ้ยก็จะไม่มีงานทำหรือได้งานที่ไม่ดี มีรายได้ไม่พอเลี้ยงตนเองและครอบครัว”

ยาย:”ถ้านุ้ยรู้อย่างนี้แล้วนุ้ยจะปรับปรุงตัวมั้ยลูก”

นุ้ย:”นุ้ยจะปรับปรุงตัวไม่เกเร ตั้งใจเรียนไห้คุณยายภูมิใจค่ะ”

๖. ทักษะการตัดสินใจ

ทักษะการตัดสินใจ เป็นทักษะที่จะนำไปสู่พฤติกรรมการดำเนินชีวิตของบุคคล โดยมีการประเมินทางเลือก และผลจากการตัดสินใจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับบุคคลนั้น

การตัดสินใจ เป็นกระบวนการซึ่งแยกเป็น ๖ ขั้นตอนดังนี้

๑. การกำหนดหรือระบุปัญหาซึ่งขึ้นอยู่บนพื้นฐานของการสังเกตพฤติกรรมของบุคคล สถานการณ์ที่ขัดแย้งจะช่วยให้บุคคลเกิดความคิด และมีจินตนาการเพื่อจะเกิดแนวทางต่างๆ

๒. ค้นหารวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อการตัดสินใจ

๓. หาหนทางเลือกที่มีอยู่ว่ามีกี่หนทาง

๔. หาข้อดี ข้อเสีย ของแต่ละทางเลือก

๕. ตัดสินใจเลือกทางเลือกที่เหมาะสม โดยพิจารณาจากความรู้ เจตคติ และค่านิยมจากประสบการณ์ที่มีอยู่

๖. ประเมินผลจากการติดสินใจ ว่าตัดสินใจถูกหรือผิด เกิดผลดีหรือผลเสียอย่างไร ขั้นตอนนี้ถือว่าสำคัญที่สุด

การตัดสินใจที่ดีจะช่วยในการป้องกัน ลดความขัดแย้งและแก้ปัญหาเรื่องเพศและครอบครัวได้

ตัวอย่างการใช้ทักษะการตัดสินใจ

โอ๊ตชวนตุ๊กตาไปดูหนังรอบดึกสองคน ตุ๊กตากำลังตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ไป

ไป

ข้อดี: ดูหนังสนุก

ข้อเสีย: กลับบ้านดึกโดนพ่อแม่ดุ , เสี่ยงต่ออันตรายทางเพศ , ไม่ได้อ่านหนังสือ

ไม่ไป

ข้อดี: ได้อ่านหนังสือทำการบ้าน ,พ่อแม่สบายใจ , ไม่เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่างๆ

ข้อเสีย: โอ๊ตอาจจะโกรธ

ตุ๊กตาตัดสินใจไม่ไปดูหนังกับโอ๊ตโดยให้เหตุผลว่า ต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบ

๗. ทักษะการแก้ไขปัญหา

ทักษะการแก้ไขปัญหา เป็นทักษะที่ต้องทำหลังจากใช้ทักษะการตัดสินใจเลือกแนวทางปฏิบัติแล้ว โดยใช้เหตุผลและสติในการแก้ไขปัญหาอย่างรอบคอบแทนการใช้อารมณ์ เพื่อให้ปัญหาคลี่คลายไปในทางที่ถูกต้อง

การแก้ปัญหา โดยใช้เหตุผลการแก้ปัญหา จะทำให้ปัญหาต่างๆได้รับการแก้ไขให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี และช่วยป้องกันและลดความขัดแย้งในครอบครัวรวมทั้งปัญหาเรื่องเพศ เราจึงต้องฝึกหัดใช้เหตุผลในการแก้ปัญหาจนติดเป็นนิสัย และต้องรู้จักแยกแยะอารมณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้น พร้องทั้งต้องฝึกหัดการควบคุมอารมณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้อารมณ์เข้าไปมีบทบาทในการแก้ปัญหา ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการแก้ปัญหา

ตัวอย่างการใช้ทักษะการแก้ปัญหา

เอ็มกับออม เป็นพี่น้องที่ชอบแย่งกันใช้คอมพิวเตอร์จนมีปัญหาทะเลาะกันเป็นประจำ ทำให้คุณพ่อต้องเรียกทั้งสองมาปรับความเข้าใจและตกลงเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ที่บ้าน

คุณพ่อ:”ทำไมลูกทั้งสองคนจึงทะเลาะกันเรื่องใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ”

เอ็ม:”ออมชอบมาเร่งให้ผมเลิกใช้ทั้งที่ผมยังใช้ไม่เสร็จเลยครับ”

ออม:”พี่เอ็มใช้คอมพิวเตอร์นาน กว่าออมจะได้เล่นก็มืดแล้ว”

คุณพ่อ:”’งั้นคงต้องหาข้อตกลงร่วมกัน ทั้งสองมีข้อเสนออย่างไรบ้าง”

เอ็ม:”ใครมาถึงบ้านก่อนได้เล่นก่อน”

ออม:”ใช้เวลาเล่นคนละไม่เกิน ๑ ชั่วโมง”

เอ็ม:”แล้วถ้าต้องทำงานส่งอาจารย์ล่ะ”

ออม:”ถ้าต้องทำงาน คนที่เล่นต้องเลิกก่อน แล้วค่อยกลับมาเล่นใหม่ หมุนวนกันไป”

คุณพ่อ:”’งั้นตกลงกันว่าใครมาถึงบ้านก่อนได้เล่นก่อน และครบ ๑ ชั่วโมงต้องให้อีกคนเล่น แต่หากมีงานต้องทำ ต้องให้คนทำงานใช้ก่อน ลูกทั้ง ๒ เป็นคนมีเหตุผล ดีมากเลยลูก”

การมีความสามรถในการใช้ทักษะต่างๆในการดำเนินชีวิต จะช่วยป้องกันและลดความขัดแย้งในครอบครัว รวมทั้งสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องเพศ และปัญหาครอบครัวเรื่องต่างๆได้อย่างถูกต้อง

เอ็ม : “ ใครมาถึงบ้านก่อนได้เล่นก่อน”

ออม : “ใช้เวลาเล่นคนละไม่เกิน ๑ ชั่วโมง”

เอ็ม : “แล้วถ้าต้องใช้ทำงานส่งอาจารย์ล่ะ”

ออม : “ถ้าต้องทำงาน คนที่เล่นต้องเลิกก่อน แล้วค่อยกลับมาเล่นใหม่ หมุนวนกันไป”

คุณพ่อ : “งั้นตกลงว่าใครมาถึงบ้านก่อนได้เล่นก่อน และครบ ๑ ชั่วโมงต้องให้อีกคนเล่นแต่หากมีงานต้องทำ ต้องให้คนทำงานใช้ก่อนลูกทั้ง ๒ เป็นคนมีเหตุผลมากเลยลูก”

การมีความสามารถในการใช้ทักษะต่างๆ ในการดำเนินชีวิต จะช่วยป้องกันและลดความขัดแย้งในครอบครัว รวมทั้งสามารถแก้ไขปัญหาเรื่อง และครอบครัวเรื่องต่างๆได้อย่างถูกต้อง

หลักธรรมเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

การอยู่ร่วมกันในสังคมอาจมีการกระทบกระทั่งกันด้วยวาจาใจและการเบียดเบียนกันซึ่งทำให้สังคมขาดความสงบสุข การปฏิบัติตนให้อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างราบรื่นเรียบร้อย มีความสุข และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำได้โดยใช้หลักธรรม สังคหวัตถุ ๔ ซึ่งประกอบด้วย

๑.๑ ทาน คือการให้ปันสิ่งของ ๆ ตนต่อผู้อื่น การผูกใจคนต้องอาศัยการให้เป็นหลักพื้นฐาน การให้เป็นการแสดงออกถึงไมตรีจิตของผู้ให้ที่ผู้รับพอใจ

๑.๒ ปิยวาจา คือการมีถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวานน่าฟัง ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยครองใจคนด้วยไมตรีจิต

๑.๓ อัตถจริยา คือการประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นคนไม่ดูดาย รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น บำเพ็ญตนเป็นประโยชน์ต่อสังคม

๑.๔ สมานัตตตา คือความเป็นผู้มีตนสม่ำเสมอ วางตนเหมาะสมไม่ถือตัว นอบน้อมต่อผู้ใหญ่

บทความเรื่องความขัดแย้งในครอบครัว กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

http://www.dmh.go/sty_libnews/news/view.asq?id=4895

กิจกรรมพัฒนาความสามารถในการอ่าน

ให้นักเรียนอ่านคำศัพท์และความหมายของคำศัพท์ต่อไปนี้
คำศัพท์ คำอ่าน ความหมาย
วิจารณญาณ วิ-จา-ระ-นะ-ยาน ปัญญาที่สามารถรู้หรือให้เหตุผลที่ถูกต้องได้
สนทนา 
สน-ทะ-นา คุยกัน ปรึกษาหารือกัน พูดจาโต้ตอบกัน 

แผนผังสรุปสาระสำคัญ

ทักษะชีวิตในการป้องกันและลดความขัดแย้ง

๑. ทักษะการสื่อสาร
คือ การมีความสามารถในการเป็นผู้พูด ละผู้ฟังที่ดี เพื่อให้การสื่อสารบรรลุวัตถุประสงค์

๒. ทักษะการสร้างสัมพันธภาพ
เป็นทักษะที่ช่วยให้บุคคลมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพื่อป้องกันและลดความขัดแย้ง โดยใช้ความรักและความเข้าใจต่อกัน

๓. ทักษะการต่อรอง
เป็นการสื่อสารให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความตั้งใจเดิมมาคล้อยตามตนเองโดยรักษาไว้ซึ่งสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน

๔. ทักษะการปฏิเสธ
เป็นการสื่อสารเพื่อแสดงความรู้สึกของตนว่าไม่เห็นด้วยโดยไม่เสียสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน

๕. ทักษะการคิดวิเคราะห์

เป็นการใช้ข้อมูลคิดใคร่ครวญ หาเหตุผลและคาดหมายผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างแม่นยำ

๖. ทักษะการตัดสินใจ
เป็นการประเมินทางเลือกโดยใช้ความรู้ เจตคติทางเลือกทางที่ก่อให้เกิดผลดี

๗. ทักษะการแก้ไขปัญหา
เป็นการใช้ปัญญาและมีสติในการดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง เพื่อให้ปัญหาคลี่คลาย

Leave a comment